Media touchpoints role

          ในการวางแผนสื่อเราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจบทบาทของแต่ละสื่อที่เราจะนำเอามาใช้ในการทำงาน  โดยแต่ละสื่อนั้นจะมีจุดเด่น และจุดด้อยแตกต่างกันออกไป การเลือกใช้สื่อให้ถูกต้องกับเป้าหมายทางการสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก 

Offline media

ทรทัศน์ (Television)
          เป็นสื่อที่ยังคงมีค่าความเข้าถึงสูงที่สุดอยู่ในประเทศไทย ณ เวลานี้  เนื่องจากว่าคนไทยส่วนใหญ่มีทีวีอยู่บ้านอย่างน้อย 1 เครื่อง  ทำให้สื่อทีวีสามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว  เหมาะกับการสร้าง Awareness กับกลุ่มเป้าหมายขนาดใหญ่หลัก 10 ล้านคนขึ้นไป  และยังเป็นสื่อที่วัดผลได้อีกด้วย  ข้อเสียคือใช้เงินค่อนข้างสูงมากๆ  ในการใช้สื่อนี้ให้เกิดผลลัพธ์  เพราะถ้าหากใช้น้อยเกินไปจะทำให้โดยคู่แข่งกลบสื่อเราได้

          อย่างไรก็ตามสื่อทีวีในแบบกระจายสัญญาณภาคพื้นดินกำลังมีความเข้าถึงลดลงอย่างช้าๆ  เนื่องจากทีวีในยุคนี้สามารถต่ออินเตอร์เน็ตได้แล้ว  แต่ไม่ได้หมายความว่าคนจะเลิกรับชนเนื้อหาจาก Free TV ถึงแม้ว่าคนจะรับชมทีวีผ่านอินเตอร์เน็ต   แต่เนื้อหาก็ยังคงมาจาก Free TV ร่วมกับเนื้อหาที่มาจาก Online บางส่วน

สื่อนอกบ้าน (Out of home, OOH)
          เป็นสื่อที่มีใช้กันมาอย่างช้านานก่อนสื่ออื่น  และน่าจะเป็นสื่อที่คงอยู่ไปตลอดกาลไม่ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม  โดยสื่อนอกบ้านนั้นมีความหลากหลายมากๆ  ตั้งแต่สื่อบนท้องถนน สื่อในห้าง  สื่อตามสถานที่ต่างที่เจาะจงเช่น  ร้านสะดวกซื้อ  ห้องน้ำ  สวนสาธารณะ โดยหน้าที่ของสื่อนอกบ้านนั้น  มีจุดเด่นเลยคือเราสามารถตำแหน่งที่ตั้งให้สัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย  และเนื้อหาที่เราต้องการจะนำเสนอได้ค่อนข้างเจาะจง  ตัวอย่างเช่น  เราขายรถ เราสามารถวางสื่อนอกบ้านตามข้างท้องถนนที่เห็นได้ชัดหรือทางด่วน  เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่ใช้รถเป็นปกติอยู่แล้ว  ถ้าหากพวกเค้าต้องการจะเปลี่ยนรถหรือซื้อเพิ่ม  รถแบรนด์ของเราก็จะเป็นที่รู้จักคนกลุ่มนี้โดนอัตโนมัติ   อีกตัวอย่างก็คือกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ที่จะใช้สื่อนอกบ้านอย่างโดดเด่นตั้งแต่การวางป้ายตามจุดที่รถขับผ่านเพื่อดึงดูดให้คนเข้าไปในโครงการ  มีคนโบกธงหน้าโครงการ  มีการวางป้ายบอกทางตามตรอก ซอก ซอย ทั้งหมดนี้ก็เป็นการใช้สื่อนอกบ้านเช่นกัน 

        นอกจากวางสื่อตามตำแหน่งพื้นที่ให้สัมพันธ์กับกลุ่มเป้ายหมายแล้ว  เรายังสามารถวางให้สัมพันธ์กับพฤติกรรมได้ด้วย  ตัวอย่างเช่นการใช้ป้ายนอกบ้านกับสินค้ากาแฟ  โดยเลือกถนนที่เป็นขาเข้าเมืองเพราะคนจะชอบดื่มกาแฟกันในนอกเช้าก่อนเริ่มงาน  หรือสินค้าที่เป็น video streaming platform  สามารถเลือกวางสื่อในถนนขาออกจากเมืองเพราะคนกลับบ้านไปจะได้นึกออกว่าเค้าสามารถเลือกชนหนังได้นะ เมื่อกลับถึงบ้านผ่าน platform เหล่านี้  หรือการวางสื่อในร้านสะดวกซื้อของสินค้าขนมเครื่องดื่ม  ตำแหน่งหน้าร้านหรือใกล้กับชั้นวางขายของตัวเอง  เพื่อสร้างความโดดเด่นและเป็นการเตือนความจำกลุ่มเป้าหมายอีกครั้ง ณ จุดซื้อ

         จะเห็นได้ว่าสื่อนอกบ้านจะมีความยืดหยุ่นมากในการโดยเราสามารถเลือกวางสื่อตาม  1) กลุ่มเป้าหมาย 2) พฤติกรรมการใช้หรือการบริโภค 3)ตำแหน่งที่เราต้องการขายสินค้าหรือบริการ  ซึ่งในการใช้สื่อจริงๆเราสามารถทำพร้อมกันมากกว่าหนึ่งข้อก็ได้ 
         ในส่วนของจุดอ่อนของสื่อนี้คือความเข้าถึงค่อนข้างต่ำและเจาะจงต่อกลุ่มเป้าหมายนั้นๆมาก  ทำให้จะเด่นในการเรื่องของความถี่เป็นพิเศษ  นอกจากนี้ราคาค่าผลิตต่อป้ายหรือต่อตำแหน่งก็จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนของป้ายหรือตำแหน่งที่ต้องติดตั้งด้วย  ทำให้เรื่องความคุ้มค่าในการใช้สื่อนี้ค่อนข้างแย่กว่าสื่ออื่นๆ

สิ่งพิมพ์ (Print)
         จัดได้ว่าเป็นสื่อที่ลดบทบาทลงไปอย่างมากมายแล้วในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้   จากการมาถึงของสื่อ website และ social media ในอดีตเคยเป็นสื่อที่ให้ความเข้าถึงรองลงมาจากทีวีเลยทีเดียวทำให้ความคุ้มค่าในการซื้อค่อนข้างดีแถมเป็นสื่อที่สามารถอ่านซ้ำๆได้อีกด้วย   
         ในปัจจุบันสื่อตัวนี้เหมาะแค่กับการใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะกลุ่มมากๆไม่จัดเป็นสื่อ Mass อีกต่อไป  แม้แต่ตัวหนังสือพิมพ์เองที่วางขายทั่วประเทศในทุกวันนี้กลุ่มคนอ่านยังเป็นกลุ่มคนที่เล็กลงไปมาก  กลายเป็นว่าหนังสือพิมพ์เฉพาะทางเช่น นสพ ธุรกิจ ยังมีคนอ่านและเหมาะสมที่จะซื้อมากกว่าในบางกรณี  และเมื่อการเข้าถึงไม่สูงทำให้ความคุ้มค่าในการซื้อมีค่อนข้างต่ำมากรวมถึงข้อจำกัดที่ต้องมีการพิมพ์บนกระดาษจริง  ทำให้ความยืดหยุ่นสู้สื่อ Digital อื่นๆไม่ได้แล้ว   การใช้สื่อสิ่งพิพม์ในปัจจุบันจึงเจาะจงกับกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มที่ยังเสพสื่อนี้อยู่  ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจสำหรับนสพ.ธุรกิจ  นิตยสารแฟชั่นสำหรับคนชอบแฟชั่น (เพราะว่าภาพพิมพ์บนกระดาษให้สีสันที่สวยงามและดูง่ายกว่า)  นิตยสารสารคดีสำหรับคนที่ชื่นชอบเฉพาะกลุ่ม

โรงภาพยนตร์ (Cinema)
         เป็นสื่อที่ให้ Impact ทั้งภาพและเสียงมากที่สุดด้วยระบบการฉายในโรงหนัง  ทำให้คนดูได้รับรู้ข้อมูลหรือสารที่เราจะนำเสนอได้เต็มที่พแบบไม่มีอะไรรบกวน  แต่ก็เป็นสื่อที่การเข้าถึงจำนวนน้อยที่สุดเช่นกันด้วยการจำกัดตามจำนวนเก้าอี้ในโรงหนัง  และจำนวนรอบ จำนวนโรงหนังที่สามารถเข้าฉายได้  นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่ทำ  Targeting ได้จำกัดเนื่องจากไม่สามารถเลือกได้ว่าใครจะเข้าไปดูหนังบ้าง   โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนอายุน้อยจนถึงวัยทำงานตอนต้นประมาณ 15 – 30  ปีที่จะเป็นกลุ่มหลักๆที่จะยังเข้าชมภาพยนตร์ในโรงอยู่

          แต่อย่างไรก็ตามโรงหนังยังมีพื้นที่ที่สามารถใช้ทำโฆษณาได้มากกว่าแค่ตัวหนังโฆษณาที่ฉายก่อนที่จะเข้าตัวหนัง   พื้นที่รอบๆโรงหนังเป็นที่ๆดีที่จะทำการจัดกิจกรรมต่างๆได้ด้วยความที่เป็นพื้นที่ปิด  นอกจากนี้ยังมีการใช้ตั๋วหนัง  เครื่องขายตั๋ว  ป้ายรอบๆโรงหนัง  เครื่องขายของอัตโนมัติ  หรือแต่คนแจกของตัวอย่างก็สามารถใช้เป็นพื้นที่โฆษณาได้  ถ้าหากมันตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา

          โรงหนังสามารถเลือกซื้อสื่อได้หลักๆ 2 แบบคือ  1) ซื้อตามตำแหน่งโฆษณาก่อนฉายหนังจริง  2) ซื้อตามตัวหนังที่เข้าฉายโรงในเวลานั้นๆ  แบบแรกที่ค่อนข้างแน่นอนในจำนวน spot ที่จะได้   แบบที่ 2 อาจจะต้องเสี่ยงดูว่าหนังที่เราซื้อตามนั้นมีความนิยมมากแค่ไหน  ถ้าหนังดังมากเราก็ได้สื่อมากทำให้ประหยัดค่าโฆษณาไปได้เมื่อคิดต่อ spot 

สื่อในร้านค้า (In-store)
          สื่อในร้านค้าหรือบางครั้งเรียกว่าสื่อ ณ จุดขาย POS (Point of sale) เป็นสื่อที่ Media planner มักจะไม่ได้แตะต้องมากนัก  เนื่องมาจากว่าสื่อส่วนนี้มักจะตกในความรับผิดชอบของทีมงานขายของแบรนด์นั้นๆมากกว่าจะเป็นฝ่ายการตลาด  ด้วยความที่มันผูกติดอยู่กับช่องทางขาย   สื่อในส่วนนี้จึงถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อรองเรื่องพื้นที่ขายขายของแบรนด์   แต่ในบางร้าน  หรือบางห้างก็จะมีพื้นที่สื่อนี้สำหรับขายให้แบรนด์นอกเหนือจากที่เป็นส่วนของเซลล์  โดยการเลือกสื่อเหล่านี้จะพิจารณาจากตัวสินค้าของเรามากกว่าว่าจะมีขาย ณ จุดๆนั้นหรือไม่   หลังจากนั้นก็จะพิจารณาในเรื่องของ Traffic หรือ Footfall ในพื่้นที่ที่เราจะต้องติดตั้งสื่อ  เพื่อให้โอกาสในการเห็นสื่อมีมากที่สุดนั่นเอง  

         จุดประสงค์ของสื่อประเภทนี้คือการ Remind ตัวกลุ่มเป้ายหมายของเราอีกครั้ง  ใกล้กับจุดที่เราจะขายสินค้ามากที่สุดเพื่อให้เรากลายเป็นตัวเลือกสุดท้าย  หรือสร้างการเปลี่ยนใจกับกลุ่มเป้าหมาย ณ จุดสุดท้ายก่อนการตัดสินใจซื้อ  เนื้อหาในโฆษณาควรจะมีการกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อมากที่สุด  เช่น ซื้อตอนนี้พร้อมของแถม  ซื้อการสินค้าหมด  ซื้อตอนนี้ลุ้นรับของรางวัล  หรือมีส่วนลดจำนวนจำกัด  

         โดยส่วนมากสื่อ ณ จุดขายจะได้ผลกับสินค้าที่ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนใจได้ง่ายๆ  หรือสามารถเข้าถึงและซื้อได้ไม่ยาก  ไม่มีลำดับขั้นตอนการซื้อมากนัก  แน่นอนสื่อที่ต้องใช้การเปรียบเทียบ ดูราคา ดูรายละเอียด   หรือมี Path to purchase เป็นลำดับนั้น  การใช้สื่อ ณ จุดขายจะทำให้เกิดการเปลี่ยนใจได้ยากกว่า  เพราะผู้บริโภคได้ตัดสินใจซื้อมาตั้งแต่ก่อนมาที่ร้านค้า